เมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (ทร.) พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้มอบหมายให้ พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ นำทีมผู้เกี่ยวข้อง เปิดแถลงข่าวเหตุผลความจำเป็นในการจัดหาเรือดำน้ำ หลังหลายฝ่ายเห็นว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำในช่วงนี้ไม่น่าจะเหมาะสม ขณะที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุ กมธ.ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในฐานะคณะอนุ กมธ.ฯ ได้ออกมาอ้างทำนองว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนของ ทร.ไม่ใช่สัญญาจีทูจีจริง
ทั้งนี้ พล.ร.อ.สิทธิพร ชี้แจงว่า หลังจาก ทร.ได้เข้าชี้แจงงบประมาณต่อคณะอนุ กมธ.ครุภัณฑ์ฯ และมีคณะอนุฯ บางคนนำข้อมูลมาแถลง แต่เป็นข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน อาจเป็นการหวังผลทางการเมืองที่จะกระทบต่อรัฐบาล จึงขอชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ พร้อมยืนยันว่า ทร.จัดหาเรือดำน้ำตามยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ แต่มักถูกโยงเป็นประเด็นทางการเมือง
พล.ร.อ.สิทธิพร กล่าวอีกว่า การจัดหาเรือดำน้ำลำแรกที่ดำเนินการโดยจีทูจีหรือรัฐบาลกับรัฐบาลเมื่อปี 2560 โดยจะเข้าประจำการในปี 2566 และว่า แม้ขณะนี้จะยังไม่เห็นสงครามโลก แต่มีความขัดแย้งในน่านน้ำ อีกทั้งสหรัฐฯ ส่งเรือรบเข้าไปในทะเลจีนใต้มากขึ้น หากไม่มีกำลังที่เข้มแข็งพอ ผลประโยชน์ของชาติย่อมกระทบแน่นอน แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ในทะเลจีนใต้จะไม่มีเหตุการณ์ปะทะนองเลือด และอย่าลืมว่า จัดซื้อวันนี้ อีก 6 ปี จึงจะได้เรือดำน้ำ ยืนยันว่า ทร.จัดซื้อเรือดำน้ำลำที่2-3 ราคา 22,500 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.093 เท่านั้น เมื่อเทียบผลประโยชน์ของชาติทางทะเลที่มีมูลค่า 24 ล้านล้านบาท
พล.ร.อ.สิทธิพร กล่าวต่อไปว่า งบประมาณการจัดซื้อเป็นการทยอยจ่าย 7 ปี ตั้งแต่ปี 2560-2566 เป็นการจัดหาต่อเนื่องเพื่อให้ครบ 3 ลำ ไม่ใช่โครงการผูกพันงบประมาณที่เริ่มใหม่ในปี 2564 นี้ แต่เป็นโครงการในการเสริมสร้างกำลังของกองทัพที่เริ่มตั้งแต่ปี 2563-2569 เป็นการทยอยตั้งงบประมาณรายปีภายในงบประมาณที่ ทร.ได้รับตามปกติ ตามกำหนดที่ต้องชำระใน 7 งวดที่ตั้งไว้ในตอนแรก แต่เนื่องจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลได้ให้หน่วยงานราชการโอนงบประมาณคืนไปใช้สำหรับการแก้ปัญหา ทร.เห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้ตัดลดงบประมาณที่ได้ตั้งเอาไว้ในปีงบประมาณ 2563 และจ่ายงวดแรกในวงเงินงบประมาณของปี 2564 แทน และไปจบงวดสุดท้ายในปี 2570 โดยยึดความประหยัดและความคุ้มค่า ตระหนักถึงคุณค่าของเงินทุกบาทของประเทศชาติ
ทั้งนี้ ทร.เตรียมลงนามในสัญญาจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ในเดือน ก.ย.นี้ อีกทั้งร่างข้อตกลงการจัดซื้อ ได้ให้สำนักงานอัยการสูงสุดและกระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบแล้ว หากที่ประชุม กมธ.งบฯ วันที่ 26 ส.ค.มีมติไม่อนุมัติงบจัดซื้อเรือดำน้ำงวดแรก ทร.จะต้องส่งงบดังกล่าวคืนให้สำนักงบประมาณต่อไป
ด้าน พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รอง เสธ.ทร.ในฐานะโฆษก ทร.กล่าวถึงกรณีที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมาวิจารณ์ ทร.และอ้างว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำไม่ถูกต้องว่า เป็นการพูดบิดเบือนข้อเท็จจริง นำมาซึ่งความแตกแยกและนำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวทางการเมือง และว่า ที่กล่าวหาว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำของ ทร.เป็นสัญญาเก๊ ก็ไม่เป็นความจริง เรื่องจำนำข้าวที่พรรค พท.ทำต่างหากที่เป็นจีทูจีเก๊ ขอสังคมอย่าตกเป็นเหยื่อทางการเมือง “ถ้านักการเมืองหมดมุกแล้ว ก็หามุกอื่น อย่าสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ ทร.เลย อย่าให้สังคมตกเป็นเครื่องมือการเมืองในวิถีเก่าๆ แบบนี้อีกเลย อย่าดึงประชาชนมาเกลียดชัง ทร”
เมื่อถามว่า หากคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 2564 มีมติไม่เห็นชอบการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2-3 จะได้รับผลกระทบอย่างไร พล.ร.ต.อรรถพล เพชรฉาย ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ กล่าวว่า หากไม่สามารถซื้อด้ในปี 64 ไม่มีค่าปรับอะไร แต่เกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องราคาที่อาจจะสูงขึ้นมาก ตลอดจนผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือในเชิงพาณิชย์ที่ไทยจะได้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับจีน
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะ กมธ.วิสามัญฯ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ได้มีมติเลื่อนการพิจารณางบประมาณในส่วนของอนุ กมธ.ครุภัณฑ์ฯ ซึ่งมีงบฯ ในการจัดซื้อเรือดำน้ำรวมอยู่ด้วยออกไปก่อน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ ก่อนนำเข้าที่ประชุม กมธ.งบประมาณฯ คณะใหญ่เพื่อหาทางออกร่วมกันอีกครั้ง
วันต่อมา (27 ส.ค.) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะ กมธ.วิสามัญฯ เผยว่า กมธ.ได้ข้อสรุปให้เรียกคณะอนุ กมธ.ครุภัณฑ์ฯ เข้ารายงานผลการพิจารณาจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ ตามที่ ทร.เสนอในวันที่ 31 ส.ค.นี้ โดยเบื้องต้นยังไม่มีการเชิญ ทร.มาร่วมพิจารณาด้วย หากคำชี้แจงของอนุ กมธ.ฯ ไม่ครบถ้วนรอบด้าน จึงจะมีการเชิญ ทร.มา ในฐานะหน่วยรับงบฯ มาชี้แจงต่อ กมธ.งบฯ คณะใหญ่อีกครั้งในวันที่ 1 ก.ย. โดยมั่นใจว่า การพิจารณางบฯ จะเสร็จทันภายในระยะเวลา 105 วันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดแน่นอน
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีคณะ กมธ.วิสามัญฯ เลื่อนพิจารณางบจัดซื้อเรือดำน้ำว่า ต้องรอดูมติในวันที่ 31 ส.ค. รัฐบาลและตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เตรียมที่จะแก้ไขปัญหา ขอให้เดินทีละขั้นตอน “ผมได้เคยพูดไปแล้ว และไม่เคยบอกว่าต้อง แต่ไปพาดหัวข่าวกันว่าต้องซื้อ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ได้พูดถึงเหตุผลความจำเป็น และแหล่งที่มาของงบประมาณ ถ้าซื้อไม่ได้ จะต้องเจรจากับจีนอย่างไร ผมก็ได้เตรียมแผนงานของผมไว้อย่างนี้ ไม่อยากให้เป็นประเด็นที่ขัดแย้งกันอีก ถ้าขัดแย้งกันทุกเรื่อง มันก็ไปไม่ได้หมดทุกอย่าง”