เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชได้อ่านคำพิพากษาคดีที่นายพิชัย บุณยเกียรติ อดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราช เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายมาโนช เสนพงศ์ เป็นจำเลยที่ 1 และนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันกระทำความผิดทุจริตการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อปี 2557 ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 โดยศาลพิพากษาจำคุกนายเทพไท และนายมาโนช น้องชาย 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 10 ปี
สำหรับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้พิจารณาพิพากษาเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งนายมาโนช จำเลยที่ 1 แล้ว หลังจากนั้น กกต.ได้มีมติให้ดำเนินคดีอาญากับนายมาโนช และนายเทพไท แต่คดีค้างอยู่ในกระบวนการชั้นพนักงานสอบสวน และชั้นอัยการนานหลายปี ยังไม่ได้มีการสั่งฟ้องเข้าสู่การพิจารณา จนกระทั่งนายพิชัย บุณยเกียรติ อดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราช เห็นว่ามีความล่าช้า ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จึงตัดสินใจในฐานะผู้เสียหาย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วยตนเอง ศาลไต่สวนมูลฟ้องและประทับรับฟ้อง ก่อนที่จะมีกระบวนการพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยมารวม 3 นัด กระทั่งมีการนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา
หลังฟังคำพิพากษา นายเทพไทและนายมาโนชได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ด้านศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัว โดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท
ทั้งนี้ ในเวลาต่อมา นายเทพไท ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กโดยระบุว่า ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้แสดงความห่วงใย และให้กำลังใจตนและนายมาโนชในคดีความที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นคดีความที่เกิดจากมูลเหตุการแข่งขันทางการเมืองในระดับท้องถิ่น ที่มีการแข่งขันตามปกติของการเลือกตั้ง เมื่อเกิดคดีความฟ้องร้องกัน ก็ต้องต่อสู้ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมต่อไป
นายเทพไท ระบุด้วยว่า จากกรณีที่เกิดขึ้น ตนขอชี้แจงแสดงจุดยืน ดังนี้ 1.ตนเคารพในคำพิพากษาของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช 2.ตนขอยืนยันในความบริสุทธิ์ มั่นใจว่าไม่ได้กระทำผิดแต่อย่างใด 3.ตนจะขอต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม พร้อมจะยื่นต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ต่อไป 4.ตนจะมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช รับใช้พี่น้องชาวเขต 3 (อ.พระพรหม, เฉลิมพระเกียรติ, จุฬาภรณ์, ชะอวด) อย่างเข้มแข็งเหมือนเดิม 5.ตนขอยืนหยัดในอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และอุดมการณ์ประชาธิปไตย จะต่อสู้ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และ 6.ตนยังมีภารกิจต้องติดตามผลักดันให้สำเร็จตามที่ได้เริ่มต้นไว้ คือ การปลดล็อคพืชกระท่อม การตั้งค่าตอบแทนให้ อสม.เดือนละ 1,500 บาทในทุกปีงบประมาณ และงานพัฒนาในพื้นที่อีกหลายโครงการ อย่างไรก็ตาม ตนยังมีกำลังใจเต็มร้อย จะไม่ย่อท้อในการทำหน้าที่รับใช้ประชาชน และประเทศชาติต่อไป