เหตุเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่นายนิพนธ์ กาวี กำนันตำบลชัยนาท และเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความสงบหมู่บ้าน ออกตรวจพื้นที่ในช่วงเวลาเคอร์ฟิว ได้ไปพบชายดังกล่าวนั่งอยู่ในศาลาริมทาง บริเวณ ม.6 ต.ชัยนาท อ.เมืองชัยนาท ตอนเวลาประมาณ 22.30 น.ซึ่งชายวัย 33 ปี ชาวจังหวัดชัยนาท ขับรถมาจาก อ.สรรคบุรี พร้อมกับภรรยา ในช่วงเวลาก่อนเคอร์ฟิว เมื่อขับรถมาถึงจุดเกิดเหตุ ได้เกิดมีปากเสียงทะเลาะกับภรรยา แล้วถูกภรรยาไล่ลงจากรถทิ้งไว้กลางทาง จึงเข้าไปนั่งรอภรรยาอยู่ในศาลาริมทาง คิดว่าภรรยาจะกลับมารับ แต่รอจนเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงเคอร์ฟิว ภรรยาก็ไม่มา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายแทน
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ศาลจังหวัดชัยนาทได้สั่งจำคุกชายคนดังกล่าว เป็นเวลา 15 วัน ไม่รอลงอาญา ฐานฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ตามข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกนอกเคหสถาน ในเวลา 22.00-04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น โดยไม่มีความจำเป็นหรือเข้าข้อยกเว้น หรือมีเหตุจำเป็นอื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ส่วนที่ จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 7 เม.ย. ศาลจังหวัดมุกดาหารได้พิพากษาคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง น.ส.เปรมประภา เอกภาพันธ์ อายุ 29 ปี ลูกสาวของนายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กรณีโดนจับที่จุดตรวจขณะขับรถยนต์ในเวลาที่ประกาศเคอร์ฟิว โดยศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดกึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี โดยก่อนหน้านี้ นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าฯ พิษณุโลก ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “ลูกของใครไม่สำคัญ ลูกชาวบ้าน ลูกกำนัน #ลูกผู้ว่า ถ้าผิดกฏเคอร์ฟิว #ให้ลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมอย่างถึงที่สุด ไม่มีข้อยกเว้นครับ #กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับใครครับ”
ส่วนที่ จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 9 เม.ย. นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช นายอำเภอเมืองสมุทรสาคร เผยว่า ศาลจังหวัดสมุทรสาครได้ตัดสินคดีที่ชายวัย 24 ปี รายหนึ่งชาว ต.ท่าทราย อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดสมุทรสาคร เรื่องมาตรการลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ฉบับที่ 2 ที่ให้ประชาชนทุกคนภายในจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อออกจากบ้านต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า แต่ชายดังกล่าวไม่สวมหน้ากากระหว่างขับขี่รถจักรยานยนต์ ตำรวจจราจรสภ.เมืองสมุทรสาคร พร้อมด้วยนักวิชาการสาธารณสุข จึงได้เข้าจับกุมชายดังกล่าวบริเวณจุดกลับรถเยื้องห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถ.เศรษฐกิจ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคติดต่อ ปี 2558 ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ ศาลจังหวัดสมุทรสาครพิพากษาปรับ 4,000 บาท แต่จำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือโทษปรับ 2,000 บาท
ด้านนายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เผยข้อมูลสถิติคดีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นทั่วประเทศ โดยรวบรวมสถิติคดีดังกล่าวหลังรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว ห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 22.00 น. ถึงเวลา 04.00 น. โดยไม่มีความจำเป็น ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา เพื่อลดการสัญจรของ พี่น้องประชาชน และเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ว่า ช่วงเวลา 7 วันหลังประกาศเคอร์ฟิว (3-9 เมษายน 2563) มีจำนวนคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาทั้งหมด 5,071 คดี พิพากษาแล้วเสร็จ 4,830 คดี หรือคิดเป็นร้อยละ 95.19